金灵异

 找回密码
 立即注册

搜索

泰国有多少种方言?泰国出现各种方言的原因

发表于 2018-11-27 21:22:09 | 显示全部楼层 |阅读模式
  สาเหตุที่ทำให้เกิดภาษาถิ่นต่าง ๆ

  ปกติเมื่อพูดถึงภาษาถิ่นต่าง ๆ มักจะหมายถึงภาษาถิ่นต่าง ๆ ของภาษาเดียวกัน  สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดภาษาถิ่นต่าง ๆ หรือภาษาย่อยขึ้นมานั้น  มีอยู่ ๓ ประการคือ

  ๑.   ความจริงที่ว่าภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งย่อมจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  ๒.  การขาดการติดต่อกันระหว่างผู้ที่พูดภาษาเดียวกันมา

  ๓.  การเปลี่ยนแปลงของภาษา  โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการออกเสียงแต่ละเสียง  เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ  และอย่างมีระเบียบ

  ๑.  ภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างช้า ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป  ในชั่วชีวิตของแต่ละคนจึงมักจะไม่ค่อยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของภาษา

  สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการออกเสียงแต่ละเสียง  คือในระยะเริ่มแรกของการเรียนภาษาแรกของแต่ละคนเรียนด้วยวิธีการเลียนแบบ  เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าการเลียนแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามจะทำให้เหมือนแบบจริง ๆ ทุกอย่างย่อมไม่ได้  ในเรื่องการเลียนแบบการออกเสียงพูดก็เช่นเดียวกัน  เด็กที่เลียนแบบพ่อแม่   ผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก   ย่อมจะทำให้เหมือนทีเดียวไม่ได้จะต้องมีผิดเพี้ยนไปบ้างเป็นธรรมดา ปกติถ้าผิดเพี้ยนไปมากก็มักจะมีผู้สังเกตเห็นและช่วยแก้ให้เด็กออกเสียงเสียให้ถูกต้องหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับเสียงที่ถูกต้องมากที่สุด  แต่ถ้าหากเด็กออกเสียงผิดเพี้ยนไปเพียงเล็กน้อยก็มักจะไม่ได้รับการแก้ให้ถูกต้อง  ผลก็คือว่า  ทำให้การออกเสียงแผกเพี้ยนไปทีละน้อยสืบทอดต่อ ๆ กันไปหลาย ๆ ชั่วคนเข้าการแผกเพี้ยนก็มากขึ้นทุกที  จนทำให้เกิดเป็นการกลายเสียงขึ้น  คือ  เสียงในคำหนึ่งครั้งหนึ่งเคยออกเสียงกันอย่างหนึ่งเช่น  ที่ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงคำว่า โสง  โนน  โอก (ออกเสียงสระโอ)  แต่อีกสมัยหนึ่ง  เช่น  ปัจจุบันคำเหล่านี้ออกเสียงเป็น สอง  นอน  ออก  (เช่น  ออกพรรษา)  (เป็นเสียงสระออ)  นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า  ภาษาคนละสมัยมีลักษณะแตกต่างกันเนื่องมาจากภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ดังกล่าว

  ๒.  ภาษาที่พูดอยู่ในสมัยเดียวกันนั้น  อาจจะแตกต่างกันได้  ทั้งนี้นอกจากสาเหตุข้อที่ ๑ แล้ว  ยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง  คือ  การติดต่อคบหาสมาคมกันระหว่างผู้พูดภาษานั้น ๆ  ปกติถ้าหากผู้พูดภาษาเดียวกันได้มีโอกาสติดต่อกันอยู่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในภาษาทุกคนก็รับรู้และถ้าจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็รับด้วยกัน  ทำให้ภาษาที่ใช้กันนั้นมีลักษณะเหมือน ๆ กันอยู่  พูดอีกอย่างก็คือ  การเปลี่ยนแปลงของภาษาก็เป็นไปทำนองเดียวกัน  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าหากผู้ที่พูดภาษาเดียวกันด้วยความจำเป็นบางอย่างทำให้ต้องแยกย้ายกันอยู่  และโอกาสที่จะติดต่อคบหาสมาคมกันก็ไม่มี  เมื่อภาษาที่คนกลุ่มหนึ่งใช้เปลี่ยนแปลงไป  คนอีกกลุ่มก็ไม่มีทางรู้กัน  ผลก็คือ  ทำให้ภาษาของคนต่างกลุ่มเปลี่ยนแปลงกันไปคนละทาง  ต่างกลุ่มก็ต่างเปลี่ยนของตน  ความจำเป็นบางอย่างดังกล่าวนี้อาจจะได้แก่  ความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ  คือย้ายถิ่นที่ทำมาหากิน  หรือทางด้านภูมิศาสตร์  ภูมิประเทศที่มีภูเขาแม่น้ำกั้นอยู่  ทำให้คนไม่สามารถติดต่อกันได้โดยสะดวกเหมือนเมื่ออยู่รวมกันในท้องถิ่นเดียวกัน  ดินฟ้าอากาศก็อาจจะเป็นเหตุให้คนต้องแยกย้ายกันอยู่  คือถ้าถิ่นใดแห้งแล้วไม่มีฝนตกต้องตามฤดูกาลไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกทำไร่ไถนา  คนก็อยู่ได้ไม่นานและมีคนอาศัยอยู่ไม่มาก  ส่วนถิ่นใดที่อุดมสมบูรณ์  คนก็จะไปรวมกันอยู่หนาแน่น  สรุปก็คือ  ภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศมีส่วนทำให้คนมีโอกาสที่จะติดต่อคบหาสมาคมกันได้มากน้อยหรือไม่มีโอกาสเลยก็ได้  และการที่คนที่เคยพูดภาษาเดียวกันได้มีโอกาสติดต่อกันเสมอก็ทำให้ภูดภาษาที่เหมือน ๆ กัน  แต่ถ้ามีโอกาสติดต่อกันน้อยเท่าไร ก็จะทำให้พูดภาษาต่างกันมากขึ้นเท่านั้น  และต้องไม่ลืมว่า  เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  จะเห็นว่า สาเหตุ ๒ ข้อนี้เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด  คนทั่วไปหรือแม้แต่ในหนังสือตำราบางเล่มก็มักจะคำนึงถึงเฉพาะสาเหตุข้อ ๒ ซึ่งอันที่จริงแล้วข้อ ๑  เป็นข้อที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นสาเหตุแรกและเป็นสาเหตุที่มีผลอยู่ตลอดเวลา  แต่ที่คนมักไม่คำนึงถึงก็คงจะเป็นเพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของภาษาเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ คนจึงมักจะไม่สังเกต  ดังกล่าวมาแล้ว

  ๓.  เราอาจจะสงสัยกันว่า  ในเมื่อภาษาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ทำไมคนที่พูดภาษาถิ่นคนละถิ่นจึงพูดจากันฟังรู้เรื่องได้  แต่ถ้าหากเรารู้ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งว่า  การเปลี่ยนแปลงของเสียงหรือการกลายเสียงจากเสียงหนึ่งไปเป็นเสียงหนึ่งนั้นเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและมีระเบียบแล้ว  ก็จะทำให้หายสงสัยได้  เช่น  เมื่อเสียง ก ในคำหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกเสียงหนึ่งคือเสียง ข  การเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันนี้ก็จะเกิดขึ้นในคำอื่น ๆ  อีกหลายคำ  นี่เรียกว่า  การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ  ส่วนที่ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างมีระเบียบนั้นหมายถึงว่า  การเปลี่ยนแปลงมีแบบแผนที่เป็นกฎเกณฑ์อยู่ในตัว  เช่น  จะเห็นว่า  สระ  เอะ  กลายเป็น  แอะ  เราจะพบว่า  สระ  โอะ  ก็จะกลายเป็น  เอาะ  คือมีแบบแผนว่าสระกึ่งสูง (หมายถึง เอะ  และ  โอะ)  จะกลายเป็นสระกึ่งต่ำ  (หมายถึง  แอะ  และ  เอาะ)   เป็นต้น

  นอกจากนี้  เราอาจจะสังเกตได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเสียงบางเสียงจะมีเงื่อนไขแน่นอน  เช่น  เรื่องสระดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นในคำตาย (ในภาษากรุงเทพฯ  คือคำที่ลงท้ายด้วยเสียงในแม่  กก  กด  กบ  และคำที่ลงท้ายด้วยสระเสียงสั้น)

  ตัวอย่าง     เก็บ    เปลี่ยนเป็น     แก็บ อบ     เปลี่ยนเป็น     อ็อบ

  เจ็ด     เปลี่ยนเป็น     แจ็ด  จด     เปลี่ยนเป็น     จ็อด

  เด็ก     เปลี่ยนเป็น     แด็ก ปก     เปลี่ยนเป็น     ป็อก

  สรุปได้ว่า  สาเหตุสำคัญข้อที่ ๓  ที่ทำให้เกิดเป็นภาษาถิ่นต่าง ๆ ก็คือ  การเปลี่ยนแปลงของเสียงแต่ละเสียงไปตามกาลเวลานั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบและสม่ำเสมอ

  สาเหตุสำคัญทั้ง ๓  ข้อที่กล่าวมานี้  เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็ในเรื่องการออกเสียงแต่ละเสียง  และในที่สุดก็ทำให้ภาษาถิ่นต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไปในเรื่องการออกเสียงแต่ละเสียง  ตลอดจนแตกต่างกันในเรื่องการจัดระบบของเสียงในภาษาด้วย

  ยังมีสาเหตุอีกข้อหนึ่ง  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเพิ่มจำนวนคำที่ใช้ในภาษาคือ  การได้ติดต่อกับคนที่พูดภาษาอื่นโดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ  เช่น  ทางปักษ์ใต้ได้ติดต่อสมาคมกับคนที่พูดภาษามลายู  ก็ยืมคำมลายูมาใช้  ตัวอย่างเช่น  มายา (ปุ๋ย),  ช็องด็อง (ดื้อรั้น),  ลาต้า (บ้าจี้),  ซันชี (สัญญา)   ส่วนภาคกลางโดยเฉพาะกรุงเทพฯ  และโดยเฉพาะในวงการศึกษาได้อาศัยตำราภาษาต่างประเทศ  เช่น  ภาษาอังกฤษ  ทำให้เรายืมคำอังกฤษมาใช้เป็นจำนวนมากมาย   เมื่อยืมคำต่างประเทศคนละประเทศมาใช้กันคนละถิ่น    ก็มีผลทำให้ต่างถิ่นกันใช้คำคนละคำ      ในความหมายอย่างเดียวกัน  นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความหมายของคำที่ใช้ในภาษา
*滑块验证:
您需要登录后才可以回帖 登录 | 立即注册

本版积分规则

本站所有内容均来自网友分享,不代表本站任何观点。

© 2019 jinfopai.com

快速回复 返回顶部 返回列表